หลายๆ คนทั้งที่เป็นเภสัชกร และไม่ได้เป็นเภสัชกร อาจมีความฝันว่าอยาก เปิดร้านขายยา กับเขาบ้าง แต่หลายคนก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการทำ ร้านขายยา จากจุดไหน ทำให้หลายๆ คนวางแผนไม่ถูกว่า จะต้องทำอะไรก่อนหลัง ในบทความนี้จะเป็นเหมือนแนวทาง (Road map) ให้ท่านที่สนใจกำลังจะเปิดร้านขายยา
เตรียมเงินทุน
ไม่ว่าจะร้านเล็ก ร้านใหญ่ หรือแม้กระทั้งเปิดร้านขายยาออนไลน์ (ขายได้เฉพาะยาสามัญประจำบ้าน) ก็ต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้นด้วยกันทั้งสิ้น จะมาก หรือน้อยต่างกันไปเท่านั้นเอง โดยเงินทุนเริ่มต้นเนี้ย โดยส่วนใหญ่แล้วจะได้มาจาก 3 แหล่งก็คล้ายๆกับธุรกิจอื่นๆเวลาเริ่มต้นทำ คือ เงินของเราเอง เงินกู้ และจากการหาหุ้นส่วน
สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินทุน และต้องการกู้เงิน ถ้าหากเป็นเภสัชกรแล้วตามธนาคารต่างๆ ก็มักจะมีดอกเบี้ยพิเศษให้ เพียงแค่เรามีใบประกอบ และ statement ย้อนหลัง เพื่อหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ อย่างเช่น สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย สำหรับผู้เริ่มต้น
เตรียมความรู้
การมีเงินอย่างเดียว แน่นอนว่าไม่ได้รับประกันว่าธุรกิจของเราจะรอด หรือจะร่วง เพราะหากปราศจากความรู้ ความเข้าใจ ก็อาจทำให้เราสูญเงินไปได้ แล้วความรู้อะไรหล่ะที่สำคัญสำหรับการเริ่ม เปิดร้านขายยา
- ทำเล สำคัญที่สุดก็คือ ทำเล เพราะสินค้ายานั้น เราไม่สามารถทำการตลาดได้ ดังนั้นทำเลจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราทำเลนั้นจะเป็นตัวกำหนดกลุ่มลูกค้าเริ่มต้นของเรา ในการสร้างธุรกิจ
- กลุ่มลูกค้าของเราคือใคร แบบที่บอกไปว่าทำเล เป็นตัวกำหนดลูกค้าในตอนต้น เช่น ทำเลของเราอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักท่องเที่ยว ทำเลของเราอยู่ใกล้ตลาดในเวลาปกติลูกค้าของเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นแม่ค้า พ่อค้า ในตลาดบริเวณนั้นๆ
- ทำเลแม้จะอยู่ในโซนเดียวกัน เช่น เป็นโซนท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่อยู่คนละจังหวัด อำเภอ ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นอย่างลืมวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าของเราให้ละเอียด และอย่าลืมดูความหนาแน่นของประชากร บริเวณพื้นที่นั้น (สามารถยื่นเรื่องขอจากทางอำเภอ หรือลองค้นหาใน google ได้) และอย่างลืมประเมินกำลังซื้อของประชากรละแวกนั้น
- ดูพื่นที่โดยรอบ และคู่แข่งในบริเวณนั้น แม้ว่าทำเลที่ดี และกลุ่มลูกค้าที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือคู่แข็ง เพราะหากคู่แข็งของเรานั้น เป็นคู่แข็งที่อยู่มายาวนาน และลูกค้ามีความพักดีต่อแบรน์ (Royalty) สูง ก็อาจจะทำให้การเปิดร้านของเรา ไม่สามารถแชร์ส่วนแบ่งการตลาดได้
- ทำร้านแบบไหนดี ข้อนี้สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยให้เรากำหนดงบประมาณในการสร้างร้านได้ถูกต้อง ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และถูกใจกลุ่มลูกค้าของเรา หลายๆ คนเข้าใจว่าต้องทำร้านสวยๆ เอาแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆแล้วสำคํญไม่แพ้กันคือ จะออกแบบร้านยังไงให้ลูกค้ากล้าเดินเข้าร้าน และอยู่ในร้านเรานานๆ ได้มากกว่า ไม่ใช่มองแค่ว่าต้องทำร้านให้ออกมาสวย แต่บางครั้งความสวยก็เป็นภัย ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่กล้าเข้าร้านได้เช่นกัน
- โดยจากประสบการณ์แล้ว ส่วนสำคัญคือ การออกแบบป้ายหน้าร้าน และ ทางเข้าร้านให้สะดุดตา เพราะจะเป็นจุดที่ลูกค้าจะจดจำแบรนด์เรา และ มีโอกาสมาเป็นลูกค้าในอนาคตได้
- การออกแบบ layout หรือแบบแปลนของร้านในการวางชั้นวางสินค้า เพราะในจุดนี้จะมีผลในการที่จะดึงลูกค้าไว้ ให้อยู่ในร้านเราได้นานอีกด้วย และมีส่วนในการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าอีกด้วย เพราะหลังจากวางแปลนร้าน และเราซื้อเฟอร์นิเจอต่างๆ มาแล้ว จะทำการปรับเปลี่ยนได้ลำบาก จึงควรคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ
- การว่างแบบแพลน ยังช่วยให้เรากำหนดงบประมาณในการซื้อสินค้าแต่ละหมวดหมู่ ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าได้ดีขึ้นอีกด้วย
ศึกษาข้อกฎหมายร้านขายยา และระเบียบในการเปิดร้านขายยา
เนื่องจากยาเป็นวัตถุอันตราย มีผลข้างเคียง และการแพ้ยาเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการขายยา จึงต้องมีกฎหมายเข้ามาควบคุมเงินงวด มากกว่ากว่าสินค้าในกลุ่มอื่นๆ เช่น ขนม ของใช้ และนอกจากนี้หากเราวางแผนได้เป็นไปตามระเบียบ ก็จะช่วยให้สภาเภสัช และ อย ช่วยให้เราผ่านเกณฑ์มาตราฐาน ที่กฎหมายกำหนดได้เร็วขึ้น
- กฎหมายการเปิดร้านขายยา จะเป็นระเบียบ GPP ที่สภาเภสัชกรรม กำหนดขึ้นมา ซึ่งแอดจะมาเขียนในบทความถัดๆ ไปให้ โดยทางสภาจะมี checklist กำหนดให้เราว่าต้องส่งอะไรบ้าง ซึ่งหากเราทำได้ดี จะส่งผลให้เวลาต่อใบอนุญาติต่างๆ ทำได้รวดเร็วขึ้นด้วย และอย่าลืมเก็บข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ไว้ เพราะจะช่วยให้เรานำข้อมูลเหล่านี้ มาใช้ต่อใบอนุญาติในปีต่อๆไป
- เอกสารการขออนุญาติเปิดร้านขายยาแผนปัจจุบัน มีอะไรบ้าง เช่น ใบ ขย ต่างๆ ขย1 ขย14 ซึ่งสามารถ Download ได้จาก web ของทาง อย. ได้เลย
- ระเบียบในการมีเภสัชกรประจำร้านขายยา ว่าต้องอยู่เวลาไหนบ้าง ซึ่งปัจจุบันจะกำหนดให้อยู่ตลอดระยะเวลาทำการที่ร้านเปิด
วางแผนค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนในการทำร้านขายยา
จากประสบการณ์การของผมสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เงินทุนเลยคือ การนำเงินที่เราได้มาแบ่งเงิน เพื่อนำมาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เพียงพอ โดยจากประสบการณ์ผมจะแบ่งเงินออกเป็น 3 ก้อนก่อน
- ก้อนที่ 1 สำหรับการทำร้าน ตกแต่งร้าน และอุปกรณ์ภายในร้านทั้งหมด มักใช้เงินไปกับการตกแต่งร้าน และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในร้านมากกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของสถานทีที่เราไปเช่าด้วยเช่นกัน ถ้าหากสถานที่ทรุดโทรมมาก จะสิ้นเปลืองงบประมาณในส่วนนี้มาก
- ก้อนที่ 2 สำหรับการสั่งซื้อสินค้าเข้าร้าน โดยแนะนำว่าให้แบ่งรายการสินค้าเป็นหมวดหมู่ และกำหนดงบประมาณการสั่งซื้อคราวๆ ว่าต้องการลงทุนในหมวดหมู่นี้เท่าไหร่
- ก้อนที่ 3 สำหรับการทำการตลาดให้กับร้าน และเป็นเงินสำรองสำหรับซื้อของเพิ่มเติมจากการขายสินค้านั้นออก ที่เราเรียกว่า Cost of good sold (COGS) นั้นเอง
เงินก้อนที่ 1 สำหรับตกแต่งร้านขายยา และซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในก่อนเปิดร้าน
โดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่แอดจะแนะนำเลยคือ การตกแต่งร้านเนี้ยเราต้องดูด้วยว่ากลุ่มลูกค้าแถวๆ ร้านเราเนี้ยเป็นใคร และสินค้าที่เรา Focus ขายให้ลูกค้าเราเป็นอะไร ถ้าสินค้าเราเน้นขายยาที่เป็นยา Original อาหารเสริม หรือเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์ที่มีมูลค่าสูง กลุ่มลูกค้ามีฐานะกำลังซื้อสูงเป็นส่วนใหญ่ การแต่งตกร้านให้สวย และดูดีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเป็นการเพิ่มความหน้าเชื่อถือ และเป็นที่จดจำ
แต่ถ้าร้านเราเน้นการจ่ายยา Local made ยานับเม็ด สินค้าอาหารเสริม สกินแคร์ มูลค่าไม่สูงมากนัก และกลุ่มลูกค้าเป็นชาวบ้าน หรือแม่ค้าเป็นส่วนใหญ่ การตกแต่งร้านอาจไม่ต้องจัดเต็ม หรือทำร้านให้ดูเวอร์วังมาก เพราะอาจทำให้ลูกค้า กลัวจนไม่กล้าเข้าร้านได้ เพราะคาดเดาว่าของในร้านอาจมีมูลค่าแพงเกินกว่ากำลังเงินที่จะซื้อ
โดยงบประมาณในการตกแต่งคราวๆ จะมีดังนี้
- ชั้นวางสินค้า และชั้นวางยา ราวๆ 1 แสน – 2 แสนบาท แล้วแต่ขนาดของร้าน และวัสดุที่เลือกใช้
- ค่าทำฝ่าเพดาน 30000 – 50000 บาท แล้วแต่ขนาดร้าน และชนิดฝาที่เลือกแนะนำให้เลือกฝาเรียบ
- ค่าปูพื้นกระเบื้องร้าน อันนี้ต้องแล้วแต่ชนิดของกระเบื้องที่ปู และพื้นที่เลยคำนวณได้ยาก
- แอร์ และค่าติดตั้ง 50000 – 2 แสนบาท แล้วแต่ขนาดร้าน และจำนวนแอร์ภายในร้านยา
- ค่าวางระบบสายไฟต่างๆ และหลอดไฟราวๆ 50000 – 1.5 แสนบาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน และจำนวนตู้สินค้า
- ค่าตกแต่งด้านหน้าร้าน เช่น กรอบไฟหน้าร้าน (light box) หรือป้ายไฟต่างๆ หน้าร้าน แอดแนะนำว่าส่วนนี้อย่าเสียดายเงินมากเกินไป เพราะมันเป็นตัวเรียก traffic หรือเรียกคนเข้าร้านเลย แต่ก็ต้องทำให้พอประมาณเหมือนกันตามกลุ่มลูกค้าหลักเราน่ะ โดยค่าทำจะอยู่ราวๆ 10000 – 50000 บาท
- ค่าวางระบบคอมพิวเตอร์ และโปรแกรม เครื่องสแกนบาร์โค๊ต ลิ้นชักเงิน และเครื่องปรินท์ จะอยู่ราวๆ 25000 – 50000 บาท แล้วแต่รุ่นสินค้าเหล่านี้ และ โปรแกรมที่เลือกใช้ในการเปิดร้านขายยาเบื้องต้น
เงินก้อนที่ 2 สำหรับเลือกซื้อสินค้าเข้าร้าน
สำหรับเงินก่อนนี้ แอดแนะนำให้เราแบ่งสินค้าจากแบบแพลนร้าน (Store plan) หรือแบบชั้นวางสินค้า (Planogram) ที่วาง เช่น เราต้องการใช้งบกับกลุ่มยาทั้งหมดเท่าไหร่ อาหารเสริมเท่าไหร่ สกินแคร์เท่าไหร่ อันนี้คือแบ่งแบบคราวๆ แต่ถ้าเราอยากจะแบ่งให้ละเอียดกว่านี้
เราอาจจะกำหนดปลีกย่อยไปอีกว่าจะแบ่ง ยาทา , ยากิน , ยาเด็ก โดยใส่งบประมาณเข้าไป แต่แนะนำว่าให้กำหนดคราวๆ ก่อนในรูปแบบหมวดหมู่กว้างๆ ก่อนจะง่ายต่อการกำหนดงบได้ง่ายกว่า แล้วค่อยมาดูรายละเอียดเป็นหมวดสินค้าย่อยๆ อีกที เพื่อป้องกันงบประมาณในการลงทุนบานปลาย
นอกจากนี้อย่าลืมเพื่อเงินสำหรับซื้ออุปกรณ์ สำหรับใช้ตรวจตอนเปิดร้านขายยาด้วยน่ะ
เงินก้อนที่ 3 เงินตั้งงบสำรองค่าใช้จ่ายส่วนเกิน และการขาดทุนในช่วงเริ่มต้นร้าน
ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจใดๆ เริ่มต้นแล้วเราอาจจะยังไม่ได้มีกำไรในเดือนแรกๆ หลังหักค่าสินค้า และค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในร้าน หรือบางธุรกิจอาจจะขาดทุนเป็นปีๆ หรือหลายปี เพื่อจุดประสงค์ในการทำตลาด หรือสร้างตลาด โดยให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
แต่สำหรับธุรกิจร้านขายยาแล้ว โดยเฉลยถ้ายอดขายร้านไม่แย่มากนัก จะมีช่วยขาดทุนเริ่มต้นราวๆ 3 – 6 เดือน ซึ่งแต่ละร้านก็มีค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน ค่าไฟที่ใช้ จำนวนพนักงาน แต่สำหรับร้านที่ทำเองอยู่เอง ก็อาจจะต้องคำนวณเงินเดือนของตัวเอง แยกออกจากทุนสำรอง จะได้รู้แน่ชัดว่าในแต่ละเดือน หลังทำร้านแล้วหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเรามี กำไรสุทธิ (Net profit margin) อยู่เท่าไหร่
โดยเฉลยแล้ว แอดแนะนำให้เตรียมเงินสำรองไว้ประมาณให้เท่ากับ (ค่าเช่าในแต่ละเดือน + 5000 – 10000/จำนวนพนักงาน 1 คน) สำหรับใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะเตรียมไว้เท่าไหร่ เช่น สมมิตว่าค่าเช่าเรา 30000 บาท/เดือน ทั้งร้าน และมีเราเป็นพนักงานของร้านอยู่คนเดียว
แนะนำว่าควรเตรียมเงินสำรองไว้คราวๆ ในแต่ละเดือนคือ 30000 + 5000 = 35000 แบบต่ำๆ นะครับ เตรียมไว้ราวๆ 3-6 เดือน ก็จะประมาณการคราวๆ ที่ 105,000 อะน่ะ จำนวนที่แอดแนะนำคือ ถือว่าเป็นจำนวนเงินสำรองที่ save มากๆ แล้วที่กันกระแสเงินสดสะดุด ระหว่างที่เราเริ่มเปิดร้านใหม่ และมีการซื้อของเขาร้านเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ
เลือกสินค้าเข้าร้าน
การเลือกสินค้าเข้าร้านนี้เป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์เลยนะ แต่ละคนอาจมีความคิดแตกต่างๆ กัน เพราะมันขึ้นอยู่กับรูปแบบของร้านด้วย และ ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าแถวนั้น กลุ่มลูกค้าที่เราต้องการที่จะเรียก traffic เข้าร้านด้วย รวมถึงการเลือกสินค้ายังส่งผลต่อกำไรของร้านขายยาของเราด้วย ดังนั้น แต่ละคนมีแนวคิด และทำเลที่แตกต่างกัน การเลือกสินค้าต่างๆ เข้ามาในร้านยา ตั้งแต่สินค้าที่เป็นยา และไม่ใช่ยา ก็จะแตกต่างกันด้วยเช่นกัน
เบื้องต้น แอดจะแนะนำคราวๆ ว่า เรื่องการเลือกสินค้าเข้าร้านในตอนเริ่มต้น จะไม่แนะนำให้เลือกสินค้ามากเกินไป แต่จะให้ Focus ไปกลุ่มสินค้าที่เราคาดว่าตรงกับกลุ่มลูกค้าทั่วๆ ไปที่ต้องใช้สินค้าเหล่านี้ก่อน โดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าบริเวณร้านของเราก่อน และควรจะมีสินค้าที่ทำกำไรให้กับร้านด้วย ที่เราคิดว่าเราสามารถนำมาแนะนำลูกค้า เพื่อขายออกได้ รวมถึง model ของตัวร้านว่าเราจะเน้นสินค้ากลุ่มไหนเป็นหลัก ก็ให้เลือกสินค้ากลุ่มนั้นมากหน่อย
แต่ไม่ว่าจะเลือกสินค้าอะไรเข้ามา อย่าลืมกำหนดงบประมาณออกมาคราวๆ ก่อน ว่าจะใช้งบประมาณไปกับสินค้าแต่ละกลุ่มที่มูลค่าเท่าไหร่ เพื่อป้องกันงบบานปลายจากที่เราควบคุมไว้นั้นเอง และกลุ่มลูกค้าแถวร้านเราที่จะมาเป็นลูกค้าคนแรกๆ ที่จะทำให้สินค้านั้นขายได้เป็นสำคัญก่อน
กลับสู่สารบัญใช้ชีวิตอย่ายึดติดฉันใด ทำร้านขายยา หรือธุรกิจใดๆ อย่ายึดติดกับโมเดลมากเกินไปฉันนั้น
สรุปการเปิดร้านขายยา
ก่อนจะ เปิดร้านขายยา อย่าลืมสำรวจว่าเราได้เตรียมสิ่งต่างๆ ที่บทความนี้แนะนำไว้แล้วหรือยัง เพราะสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้เกิดจากประสบการณ์จริงๆ ของแอดที่เปิดร้าน และมีทั้งถูกบ้าง ผิดบ้าง หรือหลายๆ คนอาจจะเห็นต่างจากนี้ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล แอดอยากนำมาแชร์ให้ทุกๆ ท่านที่กำลังสนใจจะเปิดร้าน จะได้ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเองทั้งหมด เพราะการเปิดร้านยาก็เหมือนการทำธุรกิจรูปแบบหนึ่ง หากไม่เตรียมพร้อมแล้ว ก็อาจจะไปไม่รอดได้ตั้งแต่เริ่ม ดังสุภาษิตที่ว่า
ในสนามรบจะแพ้ หรือชนะ บางครั้งสามารถรู้ได้ตั้งแต่อยู่ในกระโจม